หลวงพ่อโสธร
เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ คือ มีพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ
พระชงฆ์ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายวางซ้อนกันอยู่บนพระเพลา
มีส่วนสูง ๖ ฟุต ๗ นิ้ว พระเพลากว้าง ๕ ฟุต ๖ นิ้ว
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถหลวงวัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา
ตามประวัติหลวงพ่อโสธร ใครจะเป็นผู้สร้างหลวงพ่อโสธร และสร้างเมื่อ พ.ศ.เท่าใด
ไม่ได้กล่าวไว้ให้เป็นหลักฐาน
ทราบเอาแต่เพียงว่าประวัติหลวงพ่อโสธร
นั้นเล่ากันมาว่าในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของไทย มีพระภิกษุสามองค์พี่น้อง
เรียนพระธรรมวินัยแตกฉานแล้วก็จำแลงกายเป็นพระพุทธรูปลอยลงมาตามยังแม่น้ำบางประกง
มาถึงเขตสัมปทวนก็ปรากฏองค์ขึ้น ชาวสัมปทวน พบเข้าก็พากันเอาเชือกมนิลามาฉุดขึ้น
แต่เอาขึ้นมาไม่ได้ เชือกขาดพระทั้งสามองค์ก็จมหายไป
บริเวณที่พระทั้งสามองค์ทวนน้ำหนีนั้นเรียกว่า “สามพระทวน” ต่อมาเรียกว่า “สัมปทวน”
อำเภอเมืองฉะเชิงเทราจนทุกวันนี้ ต่อมาได้มาผุดขึ้นที่ครองคุ้ง
ให้ชาวบ้านแถวนั้นเห็นอีก ชาวบ้านก็ฉุดขึ้นฝั่ง แต่ไม่สำเร็จอีก
สถานที่นั้นเรียกว่า “บางพระ” มาจนทุกวันนี้
องค์พี่ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยไปอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาไปปรากฏที่ตอนสามเสน ประชาชนในเขตสามเสนก็หลั่งไหลมาอาราธรนาขึ้นฝั่งฉุดขึ้นเป็นการใหญ่ มีประชาชนพากันมาฉุดนับได้สามแสนคน สถานที่นั้นเรียกว่า “สามแสน” ภายหลังเลื่อนลอยมาเป็น “สามเสน” และเรียกกันอยู่ทุกวันนี้ ชาวสามเสนฉุดขึ้นไม่ได้พระพุทธรูปก็ปาฏิหาริย์ลอยไปถึงแม่น้ำแม่กลอง ไปปรากฏผุดขึ้นที่สมุทรสงคราม ชาวประมงได้พร้อมใจกันอาราธนาขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลม เรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม” มาจนทุกวันนี้ ได้เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนชาวสมุทรสงครามมาก
องค์สุดท้องได้สำแดงอภินิหารไปผุดขึ้นที่คลองบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ประชาชนได้อาราธนาขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดบางพลีใหญ่ในตราบเท่าทุกวันนี้เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มากอีกรูปหนึ่งของเมือง ไทย คือ"หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน
ส่วนองค์กลางคือ"หลวงพ่อโสธร"ได้ลอยวนไปวนมา และมาแสดงอภินิหารผุดขึ้นหน้าวัดหงษ์ เล่ากันว่า ที่วัดนี้เดิมมีเสาใหญ่ที่มีรูปหงษ์อยู่บนยอดเสานั้น จึงได้ชื่อว่าวัดหงษ์ ต่อมาหงษ์ที่ยอดเสาหักตกลงมาเสียชำรุด ทางวัดจึงเอาธงไปติดไว้ที่ยอดเสาแทนรูปหงษ์ จึงได้ชื่อว่าวัดเสาธง แล้วต่อมาก็เกิดมีพายุพัดเสานี้หักลงส่วนหนึ่ง จึงได้ชื่อว่าวัดเสาทอน และต่อมาชื่อนี้ได้กลายไปเป็นวัดโสธร
ประชาชนพลเมืองจำนวนมากได้พากันหลั่งไหลมาอาราธนาฉุดขึ้นฝั่ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ขณะนั้นมีอาจารย์วิเศษผู้รู้คนหนึ่งสำเร็จไสยศาสตร์หรือเทพไสย รู้หลักและวิธีอาราธนา จึงได้ทำพิธีปลูกศาลเพียงตาบวงสรวง กล่าวคำอัญเชิญชุมนุมเทวดาอาราธนา ได้ใช้สายสิญจน์คล้องที่พระหัตถ์ของพระพุทธรูป และค่อยฉุดลากขึ้นมาบนฝั่ง พระพุทธรูปก็เสด็จขึ้นมาบนฝั่ง ชาวเมืองต่าง ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งได้พร้อมใจกัน อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ในพระวิหารวัดโสธร และเรียกนามว่า “พระพุทธโสธร” หรือ “หลวงพ่อโสธร” ตั้งแต่นั้นมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี ตรงกับ พ.ศ.2313 รับเป็นประวัติ
องค์พี่ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยไปอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาไปปรากฏที่ตอนสามเสน ประชาชนในเขตสามเสนก็หลั่งไหลมาอาราธรนาขึ้นฝั่งฉุดขึ้นเป็นการใหญ่ มีประชาชนพากันมาฉุดนับได้สามแสนคน สถานที่นั้นเรียกว่า “สามแสน” ภายหลังเลื่อนลอยมาเป็น “สามเสน” และเรียกกันอยู่ทุกวันนี้ ชาวสามเสนฉุดขึ้นไม่ได้พระพุทธรูปก็ปาฏิหาริย์ลอยไปถึงแม่น้ำแม่กลอง ไปปรากฏผุดขึ้นที่สมุทรสงคราม ชาวประมงได้พร้อมใจกันอาราธนาขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลม เรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดบ้านแหลม” มาจนทุกวันนี้ ได้เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนชาวสมุทรสงครามมาก
องค์สุดท้องได้สำแดงอภินิหารไปผุดขึ้นที่คลองบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ประชาชนได้อาราธนาขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดบางพลีใหญ่ในตราบเท่าทุกวันนี้เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มากอีกรูปหนึ่งของเมือง ไทย คือ"หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน
ส่วนองค์กลางคือ"หลวงพ่อโสธร"ได้ลอยวนไปวนมา และมาแสดงอภินิหารผุดขึ้นหน้าวัดหงษ์ เล่ากันว่า ที่วัดนี้เดิมมีเสาใหญ่ที่มีรูปหงษ์อยู่บนยอดเสานั้น จึงได้ชื่อว่าวัดหงษ์ ต่อมาหงษ์ที่ยอดเสาหักตกลงมาเสียชำรุด ทางวัดจึงเอาธงไปติดไว้ที่ยอดเสาแทนรูปหงษ์ จึงได้ชื่อว่าวัดเสาธง แล้วต่อมาก็เกิดมีพายุพัดเสานี้หักลงส่วนหนึ่ง จึงได้ชื่อว่าวัดเสาทอน และต่อมาชื่อนี้ได้กลายไปเป็นวัดโสธร
ประชาชนพลเมืองจำนวนมากได้พากันหลั่งไหลมาอาราธนาฉุดขึ้นฝั่ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ขณะนั้นมีอาจารย์วิเศษผู้รู้คนหนึ่งสำเร็จไสยศาสตร์หรือเทพไสย รู้หลักและวิธีอาราธนา จึงได้ทำพิธีปลูกศาลเพียงตาบวงสรวง กล่าวคำอัญเชิญชุมนุมเทวดาอาราธนา ได้ใช้สายสิญจน์คล้องที่พระหัตถ์ของพระพุทธรูป และค่อยฉุดลากขึ้นมาบนฝั่ง พระพุทธรูปก็เสด็จขึ้นมาบนฝั่ง ชาวเมืองต่าง ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งได้พร้อมใจกัน อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ในพระวิหารวัดโสธร และเรียกนามว่า “พระพุทธโสธร” หรือ “หลวงพ่อโสธร” ตั้งแต่นั้นมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี ตรงกับ พ.ศ.2313 รับเป็นประวัติ
ควรหาโอกาสไปกราบไหว้ให้ได้ซักครั้ง
เพื่อความผาสุกสวัสดิ์แก่ตัวและครอบครัววัดหลวงพ่อโสธร มีเทพเทวา พรหม
ปกปักษ์รักษา จำนวนมากถึง๑๖ องค์ นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีเทพเทวา
มาเฝ้าดูแลรักษาคุ้มครองและทำหน้าที่ช่วยอนุเคราะห์ผู้คนที่มากราบไหว้องค์หลวงพ่อโสธร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น